เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2564
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ
กล่าวถึงดัชนีความเชื่อมั่นนักธุรกิจต่างประเทศ(FBCI) ว่า
จากการสำรวจหอการค้าต่างประเทศประจำประเทศไทย 35 ประเทศ รวม 70 ราย
ระหว่างเดือนพ.ค.-ก.ค. ที่ผ่านมา หรือในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 ในภาพรวมกว่า 80%
ของกลุ่มตัวอย่าง
มีความคิดเห็นต่อเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันมีทิศทางที่แย่ลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งภาวะเศรษฐกิจไทย กำลังซื้อในประเทศ การลงทุนจากต่างประเทศ นโยบายเศรษฐกิจไทย
สถานการณ์การท่องเที่ยวภายในประเทศไทย มุมมองต่อภาคบริการของไทย สภาพการจ้างงาน
และมองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในอีก 3
เดือนข้างหน้าเมื่อเทียบกับปัจจุบันก็ยังแย่ลงและจะไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิม
นายธนวรรธน์ กล่าวต่อว่า
มีประเด็นปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมที่กลุ่มตัวอย่างต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนคือ
การบริหารจัดการวัคซีนที่ล่าช้าไม่เป็นไปตามกำหนดและไม่วัคซีนไม่เพียงพอ
การระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 ที่รุนแรงกระจายไปทั่วประเทศและควบคุมไม่ได้
การเข้าถึงแหล่งทุนที่ที่ลำบากทำให้เอกชนขาดสภาพคล่อง
การว่างงานจนส่งผลต่ออำนาจการซื้อ
ข้อจำกัดและมาตรการที่เข้มงวดในการรับมือโควิดเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนและประกอบธุรกิจ
ธุรกิจท่องเที่ยวซบเซาและการปิดประเทศทำให้นักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางเข้ามาไทยได้
เป็นต้น
นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า
ขณะที่ผลการสำรวจด้านธุรกิจในภาพรวมในปัจจุบันเพื่อเทียบกับปีก่อนพบว่าส่วนใหญ่แย่ลงทั้งรายได้ของธุรกิจ
ราคาสินค้าและบริการ คำสั่งซื้อสินค้าและบริการ ผลกำไร การลงทุน ค่าใช้จ่าย
สภาพการจ้างงาน สภาพคล่องธุรกิจ เป็นต้น และยังเห็นว่าในอีก 3 เดือนข้างหน้าเมื่อเทียบกับปัจจุบันก็ยังเห็นว่าสถานการณ์ในด้านต่างๆ
ก็ยังแย่ลงและยังแย่เท่าเดิม โดยประเด็นปัญหาของกลุ่มตัวอย่าง
ส่วนใหญ่คือคำสั่งซื้อจากในและต่างประเทศลดลง ธุรกิจขาดสภาพคล่อง
สถานการณ์โควิดที่ยังควบคุมไม่ได้ เป็นต้น
นายธนวรรธน์ กล่าวต่อว่า
จากผลสำรวจดังกล่าวทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นนักธุรกิจต่างประเทศภาพรวมในไตรมาส 2ปี
2564 อยู่ที่ 28.5 ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 2564 ที่อยู่ในระดับ 31.8 ซึ่งถือว่าต่ำกว่า
50 อย่างมาก และไม่มีดัชนีใดทั้งในปัจจุบันและอนาคตจะสูงกว่าระดับ 50
และยังไม่มีแนวโน้มจะดีขึ้นและกลุ่มตัวอย่างยังย้ำว่าต้องการให้รัฐบาลจัดสรรวัคซีนให้ประชาชน
เพราะมองว่าประเทศไทยยังมีการระบาดที่รุนแรงและนักธุรกิจต่างชาติไม่มั่นใจในการไขปัญหาการระบาดของโควิดของรัฐบาล
และให้เอกชนเข้าถึงซอฟท์โลน และมองว่าปีนี้เศรษฐกิจของไทยน่าจะติดลบหากรัฐบาลแก้ไขปัญหาการระบาดของโควิดไม่ได้
ด้านนายสนั่น อังอุบลกุล
ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า
ขณะนี้การระบาดของโควิด-19 ได้สร้างปัญหาให้กับภาวะเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมาก
ทางหอการค้าได้จัดให้มีศูนย์ฉีดวัคซีนถึง 25 ศูนย์
และอยากเชิญชวนให้ประชาชนมาฉีดวัคซีนให้เต็มจำนวน โดยในเดือนส.ค.นี้
ได้รับการจัดสรรวัคซีน 7.5 แสนโดส ซึ่งการฉีดวัคซีนให้ประชาชนครบ 70% หรือ 50
ล้านคนก่อนสิ้นปีก็จะช่วยแก้ไขปัญหาการระบาดได้
ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าขณะนี้เอกชนได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาดของโควิด-19
เพราะไม่มีวัคซีนที่เพียงพอ
ดังนั้น
จึงต้องเร่งระดมฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมมากที่สุด
เพราะจะส่งผลทำให้แรงงานในภาคการผลิตติดเชื้อน้อยลง
ทำให้การส่งออกของไทยในปีนี้ทำได้อาจถึง 15% จากเดิมที่กำหนดไว้ประมาณ 10-12%
บวกกับขณะนี้ค่าเงินบาทก็อ่อนค่าก็ยิ่งส่งผลบวกต่อภาคการส่งออกของไทย
นอกจากนี้รัฐบาลต้องเร่งสนับสนุนสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจเพราะหากยังมีการรระบาดต่อไปถึง
1 เดือนข้างหน้านี้ก็ยิ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจมากขึ้น
และหวังว่าการล็อกดาวน์จะไม่ยืดเยื้อออกไป
“การจัดหาวัคซีนต้องทำให้เร็วกว่านี้มากๆ
ส่วนวัคซีนทางเลือกต้องให้เอกชนมีส่วนร่วมมากกว่านี้ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ได้สั่งการให้นายสุพัฒนพงษ์
พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีประสานกับภาคเอกชนแล้วว่าหากใครช่องทางใด
หรือมีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงเกี่ยวกับการจัดหาวัคซีนก็พร้อมเปิดให้เอกชนดำเนินการเป็นตัวเชื่อมให้กับรัฐบาลได้”
นายสนั่น กล่าวต่อว่า
ที่ผ่านมายอมรับว่ามีความเข้าใจที่ผิดพลาดไป
โดยเฉพาะเรื่องวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่เข้าใจว่าตั้งแต่เดือนก.ค.เป็นต้นไปจะมีวัคซีนที่ผลิตในเมืองไทยไม่ต่ำกว่า
10 ล้านโดส แต่รัฐบาลได้ชี้แจงว่าเราได้รับเพียง 30% ของกำลังการผลิตในเมืองไทย
ซึ่งการผลิตในไทยมีเพียง 15 ล้านโดส ดังนั้น เท่ากับว่าไทยจะได้รับวัคซีนเพียง 5
ล้านโดสต่อเดือน จำนวนที่ผิดเป้าก็ประมาณ 5 ล้านโดส รัฐบาลพยายามสรรหาวัคซีนต่างๆ
มาชดเชย และเอกชนไม่ได้นิ่งนอนใจในการจัดหาวัคซีน ซึ่งคณะกรรมการร่วมเอกชน (กกร.)
จะนำไปหารือกับนายกฯอีกครั้งถึงแนวทางการนำเข้าวัคซีน
ขณะที่นายสแตนลี่ย์ คัง
ประธานหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย กล่าวว่า ในไตรมาส 3,4
ไทยยังมีโอกาสของการส่งออกที่จะทำได้ดีมากขึ้น เพราะค่าเงินบาทอ่อนลงตัวเหลือ 33
บาทต่อเหรียญสหรัฐ แต่ต้องควบคุมการระบาดของโรคในโรงงานให้ได้
เพราะขณะนี้ตลาดสหรัฐที่มีการฟื้นฟูจากการระบาดมีคำสั่งเข้ามาในไทยจำนวนมาก
และคำตอบของการป้องกันการระบาดของโรคได้ก็คือวัคซีน
ทำอย่างไรจึงจะมีวัคซีนเข้ามาให้ประชาชนได้มากที่สุด ในระยะเวลาที่สั้นที่สุด
และหอการค้าต่างประเทศก็สนับสนุนโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ที่จะเอื้อให้นักธุรกิจสามารถบินเข้ามาในไทยโดยไม่ต้องกักตัว
“เรายังมั่นใจในศักยภาพของประเทศไทยอยู่ปีนี้การลงทุนผ่านบีโอโอไอที่ 200%ทั้งภาครัฐและเอกชนก็ร่วมมือกันอย่างเต็มที่ แต่ยอมรับว่ามีเอสเอ็มอีได้รับผลกระทบโดยเฉพาะในภาคธุรกิจท่องเที่ยวจนต้องปิดกิจการ แต่ก็พยายามจะปรับตัวเพื่อหาทางรอดร่วมกัน ซึ่งที่ผ่านมาก็ส่งสัญญาณต่างๆ ไปยังรัฐบาลตลอดเวลาอยู่แล้ว” นายสแตนลี่ย์ กล่าว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
www.khaosod.co.th